คาดภาษีทรัมป์หลัง90วันไทยโดน28%ต่ำกว่าเวียดนาม-อินโดนีเซีย

04 มิถุนายน 2568
คาดภาษีทรัมป์หลัง90วันไทยโดน28%ต่ำกว่าเวียดนาม-อินโดนีเซีย
อังค์ถัดเปิดคาดการณ์ภาษีสหรัฐหลังหยุดพัก 90 วัน พบไทยน่าจะถูกเรียกเก็บที่ 28%รองจากเวียดนามและอินโดนีเซีย เผยประเด็นภาษีศุลกากรมีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐแค่ 0.3%

ห้วงเวลา 90 วันที่สหรัฐชะลอการขึ้นภาษีให้กับประเทศต่างๆ กำลังหมดลงไปทุกวัน ท่ามกลางการค้าที่กำลังปั่นป่วนการนำเข้าและส่งออกที่เข้าโหมดโหมกักตุนสินค้าและวัตถุดิบไว้เพื่อลดผลกระทบหากอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐมีผลบังคับใช้แม้ว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนแต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้และคาดการณ์ให้ได้มากที่สุด สถานาการณ์ภาษีทรัมป์ก็เช่นกัน เมื่อเร็วๆนี้การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัด(UNCTAD)เผยแพร่รายงานคาดการณ์การกำหนดขนาดภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐสำหรับประเทศโดยรายงานระบุว่าสหรัฐกำลังเลิกใช้ภาษีศุลกากรที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำมากซึ่งก็ใช้มานานมาเกือบศตวรรษแล้ว จนทำให้สหรัฐเป็นประเทศหนึ่งที่มีภาษีศุลกากรต่ำที่สุดในโลก เช่น กรณีประเทศไทย ภาษีนำเข้าที่สหรัฐคิดไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.3% เท่านั้น

หลังการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัล ทรัมป์ ก็ประกาศขึ้นภาษีประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐในอัตรามหาโหดทำให้ไทยและประเทศกำลังพัฒนาต่างๆกำลังยืนอยู่บนปากเหวแห่งการค้าที่มีความเป็นไปได้สูงว่ารายได้ที่ค้ำยันเศรษฐกิจมหาศาลกำลังจะร่วงหล่นลง

สหรัฐขึ้นภาษีเพิ่มเติมเต็มศก.ภายใน

“เมื่อไม่นานมานี้ สหรัฐได้เริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า โดยเลิกใช้ภาษีศุลกากรที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในโลก นอกจากนี้ ในฐานะประเทศการค้าชั้นนำและหุ้นส่วนการพัฒนาที่สำคัญ สหรัฐยังจัดเตรียมโครงการพิเศษเพิ่มเติมสำหรับเศรษฐกิจที่เปราะบางให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง”

ย้อนกลับไปเมื่อ 2 เม.ย. 2568สหรัฐเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสำหรับคู่ค้าทั้งหมดอย่างมีนัยสำคัญ โดยประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสากล 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด มีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เม.ย. โดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงการค้าหรือพันธกรณีพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) หรือโครงการให้สิทธิพิเศษฝ่ายเดียวสำหรับเศรษฐกิจที่เปราะบาง เช่น พระราชบัญญัติการเติบโตและโอกาสของแอฟริกา AGOA หรือโครงการริเริ่มลุ่มน้ำแคริบเบียน

หลังคำประกาศนี้ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนาน้อยที่สุดหลายประเทศอาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีที่เกิน 25% ขณะเดียวกันก็มีระบบภาษีเฉพาะประเทศใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่การยกเลิกการขาดดุลการค้าของสหรัฐ หมายความว่าอัตราภาษีเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักการค้าจะเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 2.8% เป็นมากกว่า 25% ในเดือนก.ค. 2568 เมื่อ “ช่วงพัก” 90 วันในปัจจุบันสิ้นสุดลง

โดยภาษีนำเข้าสินค้าจีนบางรายการอาจสูงเกิน 100% ภาษีนำเข้าเฉพาะประเทศใหม่ของสหรัฐที่ประกาศใช้กับคู่ค้าหลายรายนั้นคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เม.ย. แต่การบังคับใช้ถูกเลื่อนออกไป 90 วันจนถึงวันที่ 7 ก.ค.2568

สมการภาษีจีนคงโมเมนตัมการค้า

อย่างไรก็ตาม ในกรณีจีน สหรัฐได้กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม 125% นอกเหนือไปจากภาษีนำเข้าตามมาตรา 301 ที่มีอยู่แล้ว (หัวข้อ III ของพระราชบัญญัติการค้า พ.ศ. 2517 ชื่อว่า “การบรรเทาจากการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม”) รวมถึงภาษีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและเฉพาะผลิตภัณฑ์ ภาษีเหล่านี้ยังคงมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 13 พ.ค. 2025 แต่หลังจากนั้น สหรัฐและจีนได้ลดภาษีนำเข้าเพิ่มเติมที่บังคับใช้ในเดือนเม.ย.2568 ภาษีนำเข้าเพิ่มเติมของสหรัฐสำหรับสินค้าจีนลดลงจาก 125% เป็น 125% เหลือ 10% มีผลจนถึงวันที่ 13 ส.ค.2568 จากนั้นอัตราเฉลี่ยก็ลดลงจากกว่า 100% เหลือ 46%

จากสมการจีนและประเทศคู่ค้าสำหรับของสหรัฐ สามารถนำมาคำนวนอัตราภาษีในส่วนประเทศกำลังพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและโอเชียเนียจะเผชิญกับการปรับขึ้นภาษีศุลกากรที่รุนแรงที่สุด สำหรับประเทศกำลังพัฒนาน้อยที่สุด อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักการค้าได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าแล้ว โดยเพิ่มขึ้นเป็น 16% และอาจเพิ่มขึ้นอีกเป็น 44% อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อจีนได้เพิ่มขึ้นเป็นค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักการค้าที่ 46% แต่ถึงแม้จะไม่รวมจีน อัตราภาษีศุลกากรต่อประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและโอเชียเนียก็เพิ่มขึ้นเป็น 13% แล้ว และอาจเพิ่มขึ้นอีกเป็น 24% หลังจากการหยุดชั่วคราว 90 วันในปัจจุบัน

ภาษีที่ไทยและอาเซียนโดนหลัง90วัน

รายงานระบุว่า ในช่วง 90 วัน ไทยเผชิญภาษีศุลกากรสหรัฐ ที่ 14.2% มาเลเซีย 9.2% เวียดนาม 14.3% อินโดนีเซีย 14.0% สิงคโปร์ 4.8% แต่หลังจาก 90 วัน คาดว่า อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นโดยไทย 28.1% มาเลเซีย 15.7% สิงคโปร์ 4.8% อินโดนีเซีย 31.8% เวียดนาม 36.9%

เศรษฐกิจที่เปราะบางจะต้องจ่ายราคาที่สูงที่สุดสำหรับภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐประเทศกำลังพัฒนาบางแห่งอาจเผชิญกับการขึ้นภาษีศุลกากรสูงสุด ซึ่งสูงกว่าที่เรียกเก็บจากจีนหลังจากการปรับภาษีศุลกากร ณ วันที่ 14 พ.ค.2568

คาดว่าเศรษฐกิจที่เปราะบางหลายสิบแห่งจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐ การส่งออกของประเทศเหล่านี้มักพึ่งพาผลิตภัณฑ์ในวงจำกัดและตลาดจำนวนจำกัด อุปสรรคการค้าที่สูงขึ้นอาจขัดขวางการค้าเหล่านี้ ส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ประสบความยากลำบากยิ่งขึ้นในการรักษาการเข้าถึงตลาดและรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในภาคส่วนสำคัญ เช่น สิ่งทอและเกษตรกรรม

ด้านWTO ได้ระบุถึงคาดว่าปริมาณการค้าสินค้าทั่วโลกจะลดลง 0.2% ในปี2568 ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน ซึ่งคาดการณ์ใหม่นี้ลดลงเกือบ 3% จากที่คาดไว้ภายใต้สถานการณ์พื้นฐาน “ภาษีศุลกากรต่ำ” ตามรายงาน Global Trade Outlook and Statistics ฉบับล่าสุดของสำนักเลขาธิการ WTO ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 เม.ย.2568 โดยพิจารณาจากสถานการณ์ภาษีศุลกากร ณ วันที่ 14 เม.ย. การค้าอาจหดตัวลงอีกเหลือ -1.5% ในปี 25682 หากสถานการณ์แย่ลง

WTOปรับตัวสอดคล้องการค้าจริง

เอ็นโกซี โอคอนโจ-อิเวียลาผู้อำนวยการใหญ่WTOกล่าวว่า รู้สึกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นโดยรอบ อันเนื่องจากนโยบายการค้า รวมถึงการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐและจีน แม้การลดความตึงเครียดด้านภาษีศุลกากรในช่วงไม่นานมานี้ช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อการค้าโลกได้ชั่วคราว

 อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนที่คงอยู่ต่อไปและจะส่งผลต่อการเติบโตของโลกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจที่เปราะบางที่สุด เมื่อเผชิญกับวิกฤตินี้ อีกด้านหนึ่ง สมาชิก WTO มีโอกาสอันดีอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการสร้างพลวัตให้กับองค์กร ส่งเสริมให้เกิดสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกัน ปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจ และปรับเปลี่ยนข้อตกลงของWTOให้สอดคล้องกับความเป็นจริงระดับโลกในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น

ภาษีกลุ่มกำลังพัฒนามีผลศก.สหรัฐแค่0.3%

ในช่วงต้นปี สำนักเลขาธิการ WTO คาดว่าการค้าโลกจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2568 และ 2569 โดยการค้าสินค้าจะเติบโตสอดคล้องกับ GDP ของโลกอย่างไรก็ตาม ภาษีศุลกากรใหม่จำนวนมากที่นำมาใช้ตั้งแต่เดือนม.ค.ทำให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์ของ WTO ต้องประเมินสถานการณ์การค้าใหม่ ส่งผลให้มีการปรับลดคาดการณ์การค้าสินค้าลงอย่างมาก

นอกจากนี้ อังค์ถัดได้ระบุตอนท้ายถึงแนวทางการแก้ปัญหานี้ไว้ว่า การป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจที่เปราะบางที่สุดต้องเผชิญภาระภาษีศุลกากรที่สูงจนสร้างความเสียหายควรเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาต่างมีส่วนต่อรายได้ของสหรัฐจากภาษีศุลกากรในสัดส่วนที่น้อยมาก หรือ จะสร้างสมดุลการค้าให้สหรัฐ ได้เพียงเพียง 0.3% เท่านั้น

ดังนั้นผู้กำหนดนโยบายจึงควรให้สมการการประเมินภาษีที่แท้จริงเป็นโอกาสในการวางแผนเจรจากับสหรัฐเพื่อกำหนดกรอบภาษีศุลกากรใหม่ร่วมกันเพื่อปกป้องการพัฒนาอย่างยั่งยืนและหลีกเลี่ยงความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม


แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.